ถึงแม่แม่ชีจะได้ฝึกกรรมฐานมากับครูบาอาจารย์หลายแนว หลายสายมากมายหลากหลายวิทยากร แต่สุดท้ายแล้วแม่ชีเลือกนำแนวสติปัฏฐาน ๔ มาใช้อบรม เพราะเห็นว่ามีหลักทีผู้ปฏิบัติจะเข้าใจและปฏิบัติได้ง่าย และมีครูบาอาจารย์คอยปรับสภาวะในการปฏิบัติให้ เมื่อได้สอบอารมณ์กรรมฐานแล้ว
เมื่อผู้ปฏิบัติทดลองปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานไปได้ระยะหนึ่งแล้วจะมีการสอบอารมณ์ โดยโยคีต้องเล่าประสบการณ์ความรู้สึกและสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการปฏิบัติให้อาจารย์ผู้สอบอารมณ์ฟัง อย่างนี้เรียกว่าการสอบอารมณ์
วัตถุประสงค์ของการสอบอารมณ์ก็เพื่อให้อาจารย์ได้ตรวจสอบว่าโยคีสามารถปฏิบัติได้มากหรือน้อยแค่ไหน ถูกหรือผิดอย่างไร มีความเข้าใจในการเจริญวิปัสสนาได้ถูกต้องตามที่สอนหรือไม่ ถ้าโยคียังไม่เข้าใจหรือปฏิบัติยังไม่ถูกต้อง อาจารย์จะได้แก้ไขและแนะนำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อให้โยคีเข้าใจ ฉะนั้น ความสำคัญของการสอบอารมณ์คือ การตรวจสอบอารมณ์วิปัสสนากรรมฐานของผู้ปฏิบัตินั่นเอง
บางครั้งโยคีคงเคยได้ยินวิทยากรกล่าวว่า ถ้าตั้งใจปฏิบัติมากไปก็จะไม่ได้ผล คือต้องดูว่าวิริยะหรือความเพียรนำสมาธิไปมากไหม ถ้าวิริยะนำสมาธิมากไปมันจะเข้าไปเห็นแต่ทุกข์ ทุกข์ของกายที่ปวดเมื่อยกับทุกข์ของใจที่อยากให้หมดเวลาเร็วๆ แล้วสมาธิมีไม่พอ ฉะนั้นในการปฏิบัติ วิริยะกับสมาธิต้องสมดุลกัน
นักปฏิบัติเหมือนคนขุดดิน หากยังไม่รู้เทคนิคการจับจอบก็จะจับแน่นเกินไป เวลาออกแรงเหวี่ยงขุดดินก็จะทำให้ฝ่ามือพองได้ แต่ถ้าเป็นแบบมืออาชีพเขสจะจับแบบประคอง โอกาสที่หนังพองจะร้อยมาก
เหมือนกับนักปฏิบัติที่ฝึกใหม่ๆ ครูบาอาจารย์จะเน้นให้วิริยะเด่นกว่า พอได้วิริยะแล้ว อาจารย์ก็จะให้ถอยให้พอดี อย่าให้ล้ำหน้า มันเป็นเทคนิคหรือเป็นอุบาย ฉะนั้นการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ จึงต้องมีการส่งอารมณ์หรือสอบอารมณ์ เพื่ออาจารย์จะได้รู้ถึงสภาวะในการปฏิบัติของเขาและจะได้ให้คำแนะนำต่อไปว่าควรปรับอย่างไร
บางคนที่ไม่ยอมส่งอารมณ์ เมื่อไม่ได้รับการแก้ไขวิธีการปฏิบัติ อาจจะเข็ดกับการเห็นทุกข์ของกายของใจได้ แต่ถ้ากล้าที่จะส่งอารมณ์ให้อาจารย์ทราบทุกอย่าง เขาก็จะปรับแก้ได้ไว เช่น กรณีที่อาจารย์เห็นว่าวิริยะใช้ได้แล้ว ต่อไปก็ให้ตามดูตามรู้อย่างเดียว ในขณะเดียวกัน เมื่อไหร่ที่สติเริ่มอ่อน สมาธิเริ่มอ่อน อาจารย์ก็จะแนะให้ไปกำหนดสติหรือทำสมาธิเพิ่ม คือรู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวเพื่อหาทางสายกลาง
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ปฏิบัติไม่ควรสอบอารมณ์กันเอง คือไม่ควรบอกเล่าแลกเปลี่ยนสภาวะและแนะนำกันเอง เพราะทั้งคู่เป็นนักปฏิบัติใหม่ ก็จะเหมือนคนตาบอดกับคนตาบอดเดินจูงกันไป แต่อาจารย์จะแนะนำได้ ถ้าวิริยะมากไปเราก็ต้องดึงเขาให้ผ่อนคลายลงมาด้วยเทคนิคที่หลากหลายจากประสบการณ์ของอาจารย์ผู้สอน