มนุษย์เราเกิดมาอยู่กับความหลงในกามคุณทั้ง ๕ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เที่ยวท่องอยู่ในสงสารวัฏ ยินดีพอใจกับลาภ ยศ สรรเสริญ ลุ่มหลงกับการแสวงหาความสุข ไม่อยากรับความทุกข์ แต่วิปัสสนากรรมฐานเป็นการสอนให้เราเข้าไปรู้ทุกข์ แล้วสอนให้ละออกจากทุกข์ ถ้าเป็นแค่ปุถุชนจะไหลไปตามกระแสของกิเลส แต่ถ้าเป็นอริยบุคคลก็จะทวนกระแสได้
การฝึกสติปัฏฐาน ๔ นี่ง่ายมาก หากจะยาก ก็ยากสำหรับนักปฏิบัติใหม่ที่มีวิริยะนำ เพราะเขาจริงจังกับรูปแบบ จริงจังกับผัสสะที่มากระทบมากเกินไป จริงจังกับความคิดที่เข้าไปรื้อฟื้นเข้าไปดูของเดิม เรียกว่าทวนกระแสหรือทวนญาณ แต่ถ้าเรายึดหลักพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้ยิ้มรับพอ แล้วก็ดับที่ใจเรา มันจบแล้ว เพราะทุกอย่างก็แค่เกิด - ดับ ภพชาติใหม่ไม่มี เพราะใจเราไม่ไปยึดมั่นกับอนาคต
สติปัฏฐาน ๔ คือหัวใจของวิปัสสนา ให้เราเริ่มที่ฐานของกายก่อน ถ้าเรามรสติระลึกอยู่ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ต่อเนื่องสักพัก เราจะรู้ถึงร่างกายที่ผ่อนคลาย รู้สึกถึงความเบากายเบาใจ ต่อไปสติจะเริ่มเกิดทันจิต จิตแวบไปที่เสียงก็รู้ทัน แวบไปที่รูปก็รู้ทัน จิตจะคิดไปทางไหนก็เห็น เรียกว่ามีตาใน แม้แต่คนที่นั่งสมาธิแล้วจิตใจฟุ้งซ่าน ตราบใดที่รู้ว่าฟุ้งถือว่ายังใช้ได้ เพราะมีสติจึงรู้เท่าทันการเกิด - ดับของจิต
ลองให้เวลาเรียนรู้ใจตัวเองสัก ๗ วันเท่านั้น สติอ่อนคิดอะไรก็พูด การปิดวาจาถึงมันคิดแต่ก็จะไม่พูด มีสติคุมจิต ปิดวาจาแล้วจะเห็นผลไว เมื่อฝึกจนสติกลายเป็นมหาสติ ก็จะไม่ใช่สติธรรมดาที่ฟุ้งก็รู้ว่าฟุ้ง แต่ทำอะไรไม่ได้ ขณะที่มหาสติควบคุมได้ หากจะว่าไปแล้ว การเจริญวิปัสสนานี่สนุกมาก เพราะเป็นการเรียนรู้ใจตัวเอง เมื่อเราเรียนรู้ใจตัวเองแล้ว เราจะรู้ใจคนอื่นมากขึ้น ทำให้ปล่อยวางจากผัสสะที่มากระทบได้ดีขึ้น เราก็จะทุกข์น้อยลง
ดังนั้นในการใช้ชีวิตประจำวัน เราควรเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน ให้ใจอยู่กับการเคลื่อนไหวของร่างกายไว้ แม้จะเผลอแวบไปก็ดึงกลับมาได้ไว เราจะเห็นว่าตัดกังวลได้ง่าย เผลอไปล้วงเรื่องอดีตก็กลับมาได้ไว เตือนว่าอดีตจบไปแล้ว เราอยู่กับปัจจุบัน มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน นั่นก็เห็นสุขชั่วขณะหนึ่งแล้ว
ถึงตอนนี้ทุกท่านน่าจะเข้าใจถึงความสำคัญของการเจริญสติแล้วว่า ถ้าคนเรายินยอมให้กิเลสชักนำชีวิต ก็จะเป็นการปล่อยจิตให้ล่องลอยตามใจไปตามอารมณ์ที่ปรุงแต่งขึ้น นั่นก็หมายความว่า ในแต่ละวันมนุษย์เราส่งจิตไปจองคอนโดมิเนียมในภพภูมิต่างๆ รอไว้สำหรับชาติหน้า ไม่รู้กี่แห่งกี่หน ทั้งภูมิเทวดาตอนเราทำบุญ ภูมิมนุษย์ตอนถือศีล ภูมิเปรตตอนโลภ ภูมิอสุรกายตอนโกรธ หรือภูมิเดรัจฉานตอนหลง แต่ถ้านึกภาพตามไม่ออก แค่ลองส่องกระจกมองตัวเองตอนโกรธดูก็ได้ แทนที่จะเห็นหน้าเรา อาจได้เห็นหน้ายักษ์หน้ามารแทนก็เป็นไดก้ แล้วภาพที่เห็นมันน่าดูหรือ ไม่ต่างกับนางมารร้ายในละคร
แต่แม่ชีก็อยากจะบอกว่า การเจริญสติสามารถเปลี่ยนนางมารร้ายให้เป็นเทพธิดาได้ การมีสติรู้ตัวอยู่เรื่อยๆ เปรียบเสมือนตัว “ห้ามล้อ” ให้รถหยุดในเวลาที่ควรหยุด ถ้ารถไม่มีเบรก ไม่มีห้ามล้อ แล้วใครจะกล้านั่ง มีแต่คนประมาทเท่านั้น