ทำไมเราต้องกำหนดอิริยาบถย่อย

#

การปฏิบัติธรรมตามแนวทางการพัฒนาจิตของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย จะเน้นที่การกำหนดอิริยาบถใหญ่และอิริยาบถย่อย เหตุที่สอนให้ฝึกปฏิบัติเช่นนี้ต้องย้อนไปดูที่อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ถ้าเรากำหนดอิริยาบถย่อยบ่อยๆ สติเราจะตื่นอยู่กับปัจจุบัน เมื่อสติตื่นอยู่กับปัจจุบันแล้ว ผัสสะมากระทบเราจะรู้เท่าทันเหตุแห่งทุกข์ เรียกว่ารู้ทุกข์ เป็นผู้รู้ตื่นเพราะรู้ทุกข์ เมื่อรู้ทุกข์แล้วจะเข้าไปประหารต้นตอแห่งความทุกข์จนดับ จนขาดไป นั่นคือนิโรธแล้ว ที่เห็นมันขาดหายไปเรียกว่าจิตเข้านิโรธ

เมื่อจิตเข้านิโรธได้ ช่องว่างของนิโรธก็คือมรรคญาณ หรือกระแสพระนิพพาน จิตจะเข้าไปสู่ความเป็นอนัตตาในแวบหนึ่งที่ใจไม่ได้คิดอะไร เราจะรู้สึกอิ่มเอิบเบิกบานแบบเบาๆ ลึกๆ เหมือนกับตัดใจได้ ปล่อยวางได้ เมื่อไม่คิดมันก็ว่างไป เรียกว่าตั้งอยู่ในมรรคญาณ คือรู้ว่าละกิเลสอะไรไปได้บ้าง และกิเลสตัวใดที่ยังละไม่ได้ เรายังต้องเพียรต่อไป

เมื่อจิตรู้ว่าเมื่อครู่นี้ประหารอะไรได้ กิเลสอะไรที่ยังประหารไม่ได้ อริยสัจ ๔ ก็จะชัดตรงที่เราอยู่กับปัจจุบัน เราจะเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เมื่อเห็นอย่างนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนวันที่ ๗ - ๘ ของการปฏิบัติ สติ สมาธิ ก็จะเกิด พอสติและสมาธิสูงพอจนถึงจุดหนึ่ง จิตจะเข้าสมาบัติเอง สมาบัติคือการที่เรานั่งสมาธิและตอนแรกจะรู้สึกว่าไม่มีลมหายใจ กายเบา จิตนิ่ง จนความรู้สึกของเราดับวูบไป ปิดทวารทั้ง ๖ เหมือนเราหลับลึก แล้วรู้สึกตัวอีกครั้ง จิตจะรู้สึกสดชื่น จัดเป็นการเข้าสมาบัติขั้นอ่อน ถ้าเราภาวนา กำหนดอิริยาบถย่อยถี่ๆ จิตก็จะเข้าฌานหรือเข้าสมาบัติได้ง่ายขึ้นถ้าเราต้องการ (เป็นกำลังของสมาธิ)

ฟังแล้วเหมือนยาก แต่ถ้าได้ปฏิบัติแล้วไม่ยากเลย คนที่เคยมาฝึกปฏิบัติที่นี่ เมื่อกลับไปหากหมั่นกำหนดอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย ซึ่งทำได้ทุกที่ทุกเวลา เมื่อได้รู้ได้เข้าใจแล้วจิตใจย่อมเกิดปีติ อยากให้คนใกล้ชิดได้มาปฏิบัติบ้าง ได้รู้ได้เห็นในสิ่งที่ตัวเองได้รับจากการฝึกปฏิบัติ ก็จะแนะนำชักชวนคนใกล้ชิดมาปฏิบัติต่อๆ กันไป เพราะเห็นแล้วว่า การให้ธรรมะชำระกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ไม่ยากเลย

แต่สำหรับคนที่มีทุกข์ทางใจ ถ้าเพิ่งฝึกใหม่ๆ ส่วนใหญ่แม่ชีจะดึงเขาออกจากทุกข์ให้ได้ก่อน ให้เขาฟังเพลงธรรมะสบายๆ หรือให้ออกกกำลังยืดเส้นยืดสายสักเล็กน้อยเป็นการผ่อนคลาย แม่ชีคิดว่าถ้าหากผู้มาปฏิบัติทุกข์มากๆ เครียดมากๆ ก็จะปฏิบัติไม่ได้

ความจริงเวลาที่รู้สึกเครียด ควรหันหาสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายก่อน เช่น นึกถึงเพลงอะไรก็ได้ที่ฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลายก็ฟังหรือร้องไปเถิด มันเป็ฯอุบายในการย้ายจิตของเราให้ออกจากทุกข์ตรงนั้นไปก่อน พอจิตเริ่มผ่อนคลายแล้วค่อยหันกลับมาเจริญภาวนา หรือพอจิตเริ่มนิ่งแล้วค่อยถอยไปพิจารณาเหตุแห่งทุกข์ว่ามันทุกข์เพราะอะไร เราสามารถรู้ได้ด้วยกำลังของสติ กำลังของสมาธิ ปัญญาก็จะเกิด คือใจสอนใจ

เวลาที่คนเราเผลอ สติไปแช่อยู่กับทุกข์แล้ว ยิ่งกำหนดก็ยิ่งเครียด เราต้องดึงตัวเองออกจากตรงนั้นไปเลย ชอบทำอะไรก็ไปทำอย่างนั้น ชอบฟังเพลงก็ไปฟังเพลง ชอบออกกำลังกายก็ไปออกกำลังกายให้จิดใจผ่อนคลายลงบ้าง นี่จึงเป็นอุบายที่ง่ายที่สุดในการย้ายจิตออกมาจากความทุกข์ได้ชั่วขณะ

การปฏิบัติหากตึงเกินไปก็ไม่ดี หย่อนเกินไปก็ไม่เกิดประโยชน์ เราต้องรู้จักปรับตัว ปรับใจ ปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการปฏิบัติด้วยเช่นกัน เรียกว่าทางสายกลาง