ปฏิบัติธรรมไปทำไม

#

ถ้าเปรียบจิตเหมือนลิง มันจะแวบไปเร็วมาก ถ้าไม่มีสติควบคุมมัน ยิ่งแวบไปแวบมา แสงที่ว่าเร็วแล้ว จิตเรายังเร็วกว่าแสงอีก ตัวนั่งอยู่ตรงนี้ แต่ใจลอยไปอยู่หน้าโรงหนังแล้ว หรือไปเดินห้างแล้ว บางคนใจข้ามไปถึงสุดเหนือสุดใต้ ไปถึงเมืองนอกก็มี จิตท่องเที่ยวไปได้ทุกแห่ง ด้วยความรวดเร็ว

ถ้าเปรียบจิตเหมือนหนู เราก็ต้องมีสติเหมือนแมวที่เฝ้าหนู คอยจ้องอยู่ ไม่ว่าหหนูจะขยับไปทางไหน แมวรู้ทันหมด ถ้าหนูขยับตัวปุ๊บ แมวจะตะครุบได้ทันท่วงที ใครที่เลี้ยงแมวขอให้ดูอากัปกิริยาของเขาเวลาจ้องเหยื่อ ตาไม่กระพริบเลย นั่นคือการมีสติที่จับจ้อง รู้ทันจิตได้ทุกขณะ

เพราะฉะนั้นการมาปฏิบัติธรรมก็คือ การมาฝึกสติให้รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา หรือให้รู้ตัวบ่อยๆ ว่าขณะนี้กายกำลังทำอะไรอยู่ หรือจิตมีอารมณ์ใดอยู่ โกรธ โมโห หงุดหงิด กลัว เสียใจ ดีใจ หรือเบิกบาน ก็รู้

การฝึกสติไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์อันใดเลย ในเมื่อเรามีกายและจิตเป็นเครื่องมืออยู่แล้ว ตราบใดที่เรายังเคลื่อนไหวได้ หายใจได้ นั่นเป็นทุนที่ธรรมชาติให้มา คนที่ฝึกสติไม่ได้ ขออย่าได้ท้อ เพราะอย่างที่บอก จิตไวกว่าลิง นั่งมองแป๊บเดียวจิตเผลอไปไหนแล้วไม่รู้ ขอให้ดึงกลับมาใหม่ จะกี่พันกี่หมื่นเที่ยวก็ไม่เป็นไร ในช่วงเริ่มต้น จิตยังไม่ชินกับการอยู่นิ่งๆ จึงมักเผลอไป หนีไป เป็นเรื่องปกติ เพราะจิตมีหน้าที่คิด ถึงได้ไขว่คว้าหาอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอยู่เสมอ

ถ้ายิ่งฝึกยิ่งทำเราจะยิ่งชำนาญ ทำบ่อยๆ จิตเขาคุ้นเคย ต่อไปจะมีสติเร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำสมาธิได้ง่ายขึ้น เพราะจิตคุ้นเคยกับการทำสมาธิแล้ว ขอให้ระลึกไว้ว่า จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำม่าใช้พิจารณาอารมณ์ของเราเองว่าในขณะนั้นจิตเรามีอารมณ์เช่นไร โกรธไหม เกลียดไหม รักไหม หลงไหม ริษยาไหม สติรู้เร็วเท่าไหร่ก็ดับอารมณ์ได้เร็วเท่านั้น

สังคมที่วุ่นวายไม่รู้จบทุกวันนี้เพราะคนเราอยากได้ใคร่มี พอไม่ได้ดั่งใจก็เป็นนทุกข์ บางคนอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้พอได้มาครอบครองแล้ว ไม่นานก็อยากได้อย่างอื่นอีก เรียกว่ามีความต้องการไม่สิ้นสุด หรือไม่รู้จักคำว่าพอ เพราะไม่รู้จักฝึกสติให้รู้ทันอารมณ์ของตัวเอง ถ้ามีสติก็จะรู้จักคำว่าพอดี แปลง่ายๆ ว่า พอแล้วจึงดี นั่นเอง

โยคีที่มาปฏิบัติหลายคนไม่อยากมีความทุกข์และอยากมีความสุข แนวทางไปสู่ความสุขของแม่ชีคือ นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่มีอะไรที่ถาวร ทุกสิ่งไม่เที่ยง

ลองสังเกตดู ตอนที่เราคิดอยากได้ เรียกว่าสติมันหลงระยะที่ ๑ แต่พอได้มาแล้ว เราก็ไปยึดมั่นถือมั่น ไม่อยากให้มันพรากจากเราไป นี่คือขาดสติไปหลงระยะที่ ๒ แล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของหรือตัวบุคคลที่จากเราไป เราก็เศร้าหมอง อาลัยอาวรณ์กับสิ่งนั่น ว่าทำไมถึงต้องเป็นเราที่ต้องเจอสภาพของการพลัดพราก สูญเสียสิ่งที่เรารัก เรียกว่า ขาดสติหรือหลงระยะที่ ๓ แต่ถ้าเรามีสติรู้ตัวว่าเมื่อไหร่คิดอยากได้ เมื่อไหร่คิดยินดี เราตัดอารมณ์มันเสียตั้งแต่ตอนนั้น เราก็ไม่เป็นทุกข์ หลงระยะที่ ๒ กับระยะที่ ๓ มันก็ไม่เกิด เพราะเราตัดตั้งแต่เหตุระยะที่ ๑ ไปแล้วด้วยการมีสติ

นอกจากการฝึกสติให้ไวแล้ว แม่ชีจะอยู่กับมรณานุสติ เพื่อความไม่ประมาท แม่ชีมักจะกล่าวทักทายโยคีว่า “สวัสดีโยคีทุกคนผู้ยังมีลมหายใจอยู่จนถึงวันนี้” ประโยคนี้พูดออกมาจากใจ เพราะแม่ชีตระหนักถึงความไม่เที่ยงของชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะมาถึงหรือไม่ และยังชอบบอกใครๆ เสมอว่า แม่ชีเป็นคนไม่มีอนาคต เพราะชีวิตนี้จบไปเมื่อไหร่ก็ได้

วันหนึ่งหากแม่ชีไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ศูนย์วิปัสสนาแห่งนี้ก็ยังมีพระ แม่ชี วิทยากร และมีครูบาอาจารย์อีกหลายท่าน ซึ่งมีอุดมการณ์เดียวกัน มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้าเหมือนกัน เรามีความตั้งใจและมีกำลังใจให้กับ เพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ให้คำแนะนำต่อผู้ใฝ่หาธรรมะ เพื่อให้เดินในทางที่ถูกที่ควรต่อไป เพราะธรรมะเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับคนในสังคมทุกวันนี้

เคล็ดลับของความไม่ประมาทอีกอย่างคือ แม่ชีจะขอขมากรรมบ่อยๆ ว่า หากใครทำอะไรกับแม่ชีไว้ ไม่ว่าภพชาติใด ขออโหสิกรรมให้และให้อภัยทานแด่ทุกท่านเพื่อเป็นพุทธบูชา หากแม่ชีทำอะไรกับท่านผู้ใดไว้ ไม่ว่าภพชาติใด ก็ขอให้อโหสิกรรมให้แม่ชีด้วย แม่ชีเองจะตายวันไหนก็ไม่รู้ ขอทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ จะทำให้ถูกใจทุกๆ คน คงเป็นไปไม่ได้ เราทำได้แค่นี้ก็คือแค่นี้ คิดอย่างนี้ก็จะไม่เป็นทุกข์

ทุกวันนี้แม่ชีมีความสุขมากขึ้นเพราะตัดได้ไวขึ้น ไม่ใช่ว่าแม่ชีหมอกิเลสแล้ว แม่ชีก็ยังมีกิเลสเหลืออยู่ แต่มันน้อยลง เพราะตัดความอยากได้ไวขึ้น เมื่อตัดได้เร็วเท่าไหร่ก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้น